explicitClick to confirm you are 18+

การสูญพันธุ์ระลอกที่ 3 กับการมาถึงของก็อดซิลล่า เทพเจ้าผู้มาก่อนกาล

IdeooJul 8, 2020, 9:14:20 AM
thumb_up40thumb_downmore_vert

การหวนไปเอาคอนเส็ปวิธีคิดนับเนื่องจากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อดซิลล่าเป็นไอเดียหนังสัตว์ประหลาดแยกมาจากอุลตร้าแมนก็จริง แต่เรื่องเล่ากลับทำให้เห็นว่า "ระเบิดอะตอม" หรือกัมมันตภาพรังสีที่มนุษย์สร้างขึ้นนี่แหละเป็นตัวการปลุกชีพอสูรตัวนี้ให้บุกขึ้นเกาะญี่ปุ่น.....

.......เมื่อถอดโครงเรื่องเล่าในก็อดซิลล่าแล้ว จะเห็นว่าเมื่อทั้งโลกเห็นอำนาจการทำลายล้างของปรมาณู และทั้งโลกก็ยังหวั่นใจกับขั้วอำนาจในสงครามเย็นในขณะนั้นที่แข่งกันสะสมนิวเคลียร์กันเป็นว่าเล่น ก็อดซิลล่าในยุคนั้นคือความวิปริตที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นเพราะฝีมือมนุษย์เองนี่แหละที่จะพาลทำให้เราสูญพันธุ์ อาจเป็นครั้งแรกที่เราโฮโมเซเปียนส์ เซเปียนส์หวาดกลัวการสูญพันธุ์ร่วมกันทั้งสายพันธุ์หลังจากปฏิวัติอุตสาหกรรมมา ซึ่งการกลัวตายของมนุษย์นี่แหละ เลยอดคิดต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้

....ความวิปริตของก็อดซิลล่าคลี่คลายเป็นมิตรกับมนุษย์มากขึ้นจากเนื้อหาในปลายยุคโชวะ เนื่องจากต้องเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับตลาดของหนังที่เจาะไปทางกลุ่มเด็ก ๆ แทน ฉะนั้นก็อดซิลล่าวิปริตแค่ตอนแรก ๆ ของเรื่อง ก่อนจะปรับลักษณะนิสัยใหม่ มีความอบอุ่นและใจดีขึ้น จนในที่สุดมันได้กลายเป็นพวกเดียวกับฝั่งมนุษย์ และคอยปกป้องญี่ปุ่นแทน ภาพของความวิปริตจากการคิดค้นระเบิดปรมาณูที่เคยทำลายญี่ปุ่นและสะเทือนโลกเบาคลาย การเปลี่ยนเจเนอเรชั่นทำให้ญี่ปุ่นไม่ต้องย้ำผลผลิตอันเลวร้ายจากนิวเคลียร์แล้ว

....ท้ายที่สุด เมื่อมาถึงยุคเรวะ ก็อดซิลล่าไปอยู่ในมือ "ฮอลลีวู้ด" ผู้ครอบครองวิธีคิดและวัฒนธรรมของโลกยุคเรา โดยเฉพาะ Godzilla (2014) สืบทอดเอาวิธีคิด "ความเลวร้ายจากน้ำมือมนุษย์" กลับมาทวงคืนความสดใสของก็อดซิลล่าจากปลายยุคโชวะ ราชาแห่งมอนสเตอร์ของฮอลลีวู้ดกลายเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติผู้มาทวงคืนสมดุลที่ถูกน้ำมือของมนุษย์นี่แหละทำลาย มนุษย์นี่แหละปลุกมันและอสูรอื่นๆหรือความวิปริตอื่นๆ ขึ้นมา

...........ในเนื้อเรื่องอาจดูเหมือนเป็นการเคารพธรรมชาติ แต่อาจจะเป็นการทำให้เห็นว่ามีกระแสความคิดความหวาดกลัวการสูญพันธุ์ในหมู่เราชาวโฮโมเซเปียนส์ เซเปียนส์ กลับมาอีกครั้ง หรือไม่เคยหายไป การเผชิญหน้ากันระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าจากธรรมชาติจึงเกิดขึ้นในหนัง


Godzilla (2014-2019) คลี่คลายเป็นเหมือนพระเจ้าจากธรรมชาติ แต่ยังคงโครงเรื่องการพยายามฆ่าก้อดวิลล่าด้วยอาวุธทางทหารและนิวเคลียร์เสมอ

....ตรงนี้แลดูจะเป็นจุดที่น่าสนใจเพราะหนังหลายเรื่องยังคงความเป็นเซเปี้ยนส์ไว้อยู่ คือ เราต้องทำลายภัยคุกคามก่อนจะมาถึงตัว เราต้องเเข็งแกร่งจึงอยู่รอด กองทัพและสภาอันเป็นตัวแทนความสำเร็จของสายพันธุ์เราในด้านการใช้ความรุนแรงและการควบคุมความรุนแรงด้วยการปกครอง พยายามจะยุติปัญหาของเทพเจ้าผู้มาก่อนกาลรูปร่างมหึมาเหล่านี้ก่อนที่มันจะเป็นภัยกับมนุษย์

.....ลักษณะใช้กำลังยุติปัญหาอย่างนี้เอง ฝังอยู่ในโคตรเหง้าพันธุกรรมและเป็นรากฐานวิวัฒนาการของเรา เพียงแต่เราไม่ใช้กำลังด้วยกำลัง แต่เราใช้กำลังด้วยพรสวรรค์แห่งการวิวัฒนาการ ปัญหาที่เป็นภัยกับมนุษย์ที่สุดคงจะเป็นการอยู่รอดและขยายเผ่าพันธุ์ เราจึงเริ่มล่าและทำลายสิ่งรอบข้าง ตั้งแต่เริ่มต้นอารยธรรมของเรา

หนังทุกภาคกองทัพพยามหยุด Godzilla แต่เวอร์ชั่นใหม่ในปี 2014-2019 เราตะหนักว่ากองทัพเป็นแค่ตัวประกอบเพื่อชี้ให้เห็นการพยายามทำลายสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติด้วยอาวุธ นี่คือรากของอารยธรรมมนุษย์

....เซเปี้ยนก้าวย่างไปทั่วโลกครั้งแรกก็ล่าสัตว์ใหญ่มากครึ่งหนึ่งของสปีชีส์ที่มีไปพร้อมกับการขยายเผ่าพันธุ์ และเมื่อตั้งถิ่นฐานในช่วง “ปฏิวัติเกษตรกรรม” เซเปี้ยนรุกรานพืชเล็กหอยทากแมลง และสัตว์พื้นถิ่นทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

......โฮโมเซเปี้ยนส์ เมื่อเริ่มล่าเป็นกลุ่มและแพร่ขยายไปทั่วดินแดนแอฟโฟร-เอเชีย สายพันธุ์เราวิวัฒนาการการคิดค้นเครื่องมือซับซ้อนไม่ใช่แค่อาวุธ ยังมีเครื่องนุ่งห่มหรือที่อาศัยอย่างง่าย สิ่งนี้นำพาเซเปี้ยนนักล่ากลุ่มใหญ่มุ่งหน้าขึ้นเหนือตามล่า “อสูรยักษ์” ที่เรารู้จักในชื่อแมมม็อธ ไขมันจากสัตว์ยักษ์ผิวหนังกล้ามเนื้อกระดูกหล่อเลี้ยงนักล่าบรรพบุรุษเราอย่างไม่หยุดยั้ง เราตามมันไปเรื่อยๆ พร้อมกับแพร่ขยายเผ่าพันธุ์ จนสุดท้ายแมมม็อธซึ่งอยู่มานับล้านปี จนเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนมันหายไปจากโลก ซึ่งนี่เป็นแค่หนึ่งในหลายร้อยสปีชีส์ ในดินแดนต้นกำเนิดสายพันธุ์เรานะ

....ย้อนไปไกลหน่อย 45,000 ปีก่อน เซเปี้ยนส์เดินทางเลียบทะเละไปถึงดินแดนออสเตรเลียมีทะเลใหญ่กั้น การวิวัฒนาการในทวีปออสเตรเลียจึงโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์กว่าทวีปอื่น ราวกับว่าอยุ่บนดาวคนละดวงกับแผ่นดินแอฟโฟร-เอเชีย

....เป็นเวลา 2 ล้านปีที่เซเปี้ยนออกล่าทั่วแอฟริกาและเอเชีย แต่เราเพิ่งพัฒนามาล่าสัตว์ใหญ่ราว 400,000 ปีมานี้ และสี่แสนปีนี้สัตว์อื่นที่วิวัฒนาการร่วมกับสายพันธุ์เราบนแผ่นดินแอฟโฟร-เอเชียได้เรียนรู้ว่าควรรักษาระยะห่างสัตว์สองขาชนิดนี้เพราะนี่คือผู้ล่า ฉะนั้นเมื่อเจอฝูงมนุษย์สัตว์ใหญ่เรียนรู้ที่จะตื่นกลัวและหนี แต่ที่ออสเตรเลียไม่ใช่ 

.....ที่ออสเตรเลียมนุษย์พบสัตว์ใหญ่ประหลาดมากมาย ทั้งจิงโจ้สูง 2 เมตร สิงโตที่มีกระเป๋าหน้าท้อง นกบินไม่ได้ที่ใหญ่เป็นสองเท่าของนกกระจอกเทศ วอมแบทขนาดสองตันครึ่ง เมื่อเซเปียนส์ไปถึงสัตว์พวกนี้แค่หันมามองและเคี้ยวหญ้าต่อไป และมันคงงงที่จู่ๆสัตว์สองขาตัวเล็กนี้ก็จู่โจมมัน สัตว์ยักษ์เหล่านี้ไม่เคยถูกรบกวนจากภายนอก ขยายพันธุ์ช้า ตั้งท้องนาน ออกลูกไม่กี่ตัว มันจึงเป็นเหยื่อการสูญพันธุ์แรก เพราะกว่ามีนจะวิวัฒนาการการรับรู้ว่ามนุษย์อันตรายเหมือนสัตว์อื่นในแอฟโฟร-เอเชีย มันก็ลดจำนวนจนหายไปอย่างรวดเร็ว

.......จากนั้นสัตว์ยักษ์ในอเมริกาก็เผชิญเคราะห์กรรมเช่นเดียวกับออสเตรเลีย คงไม่ต้องอธิบายแล้วแหละ

การสูญพันธุ์ใหญ่ระลอกแรกควบคู่ไปกับการขยายเผ่าพันธุ์ของกลุ่มนักล่า ระลอกที่สองเป็นของพวกเกษตรกร พอจะให้เราเห็นว่าหากมีระลอกที่ 3 นั่นย่อมหมายถึง “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ที่ยังคงส่งผลต่อเราๆ ในปัจจุบัน นั่นหมายว่ามนุษย์ไม่เคยสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หลายหมื่นปีก่อนมีระเบิดนิวเคลียร์หรือพลาสติก มนุษย์ก็กวาดสถิติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พืชและสัตว์ทั่วโลกสูงลิ่วอยู่แล้ว

.....................................................................................................................

ย้อนกลับมาที่ปูมเรื่องราวก็อดซิลล่า การปรากฏขึ้นจากทะเลของก็อดซิลล่ายังนับเป็นบุคลาธิษฐาน เปรียบธรรมชาติทรงพลังอำนาจออกมาเป็นรูปร่าง เพียงแค่ไม่ใช่ความทรงอำนาจในกายมนุษย์ดังที่พระเจ้าในศาสนายิว-คริสเตียนเป็น หากแต่เป็นสัตว์ยักษ์ผู้มาก่อนกาล เป็นเหมือน Totem ทรงอำนาจจากธรรมชาติเฉกเช่นลัทธิโบราณของชาวเผ่าในอดีตอันไกลที่สร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกับธรรมชาติขึ้นมา

Totem เป็นสัญลักษณ์ที่เขียนเพื่ออ้างเอาสัตว์ในธรรมชาติเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้เพื่อรักษาสมดุลระหว่างกลุ่มชนเผ่าและธรรมชาติ

Totem คือสัญลักษณ์ของกลุ่มชนพื้นเมืองเเต่ละที่ใช้สื่อถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่พบเป็นเสาสลักรูปสัตว์ หรืออาจเป็นสิ่งบุชาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติก็ได้

การที่ก็อดซิลล่าในเวอร์ชั่นฮอลลี้วู้ดอยู่ใต้ดินและในทะเลก็มีนัยยะสำคัญ เทพเจ้าจากธรรมชาติผุดขึ้นมาจากทะเลหรือเกาะห่างไกล คือพรมแดนที่มนุษย์ในยุคนักล่าและในยุคเกษตรกรรมเข้าไปฆาตกรรมนานาสปีชีส์ได้ไม่ทั่วถึงเนื่องจากเรายังไม่ย่ำเดินและถากถางพื้นที่ใต้ทะเลลึก นั่นไม่ใช่พรมแดนเราใน 2 ยุคแรกแห่งงเผ่าพันธุ์ แต่เราในยุคการปฏิวัติอุสาหกรรม ได้สร้างการย่ำไปในดินแดนดังกล่าวด้วยมลพิษ ขยะตลอดจนการล่าที่ยิ่งใหญ่กว่าหมื่นปีที่ผ่านมาภายในศตวรรษเดียวส่งผลให้สปีชีส์จำนวนมากเริ่มเข้าจุดวิกฤตสูญพันธุ์ด้วยอัตราเร็วกว่ามนุษย์ทุกยุค นี่จึงเป็นการสังหารเผ่าพันธุ์พืชและสัตว์ในมหาสมุทรอย่างโหดร้ายและรวดเร็วที่สุด การปรากฏตัวของเทพในท้องทะเลในฉากตุงแช่ต่างๆ ก็เรียกร้องให้นึกถึงจุดที่กำลังเกิดขึ้นนี้ เราคือผู้ปลุกมันขึ้นมา

.........ดังนั้น พล็อตเรื่องของ Godzila (2014-2019) ที่ใส่บทการต่อต้านของกองทัพ การแก้ปัญหาของมนุษย์แม้จะมีเพียงน้อยก็ดูมีนัยยะสำคัญทีเดียว ที่จะทำให้เห็นว่าท้ายที่สุดการเกิดขึ้นมาเพื่อสร้างสมดุลธรรมชาติของก็อดซิลล่าก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์ตระหนักในฐานะของตน ว่าตนนั้นคือฆาตกรต่อเนื่องในระบบนิเวศที่โหดร้ายที่สุดในกงล้อวิวัฒนาการไม่ใช่ก็อดซิลล่า และยังแฝงการผยองไม่ยอมรับนับถือพระเจ้าผู้มาก่อนกาลลนี้ ต่างจากองค์กร “โมนาร์ช” ที่เชื่อว่าเราสามารถปรับตัวอยู่กับเทพเจ้าที่อยู่มาก่อนกาลได้ เราแค่ยอมอยู่ใต้มันเพื่อปรับสมดุลธรรมชาติเพื่อเราอยู่รอดและธรรมชาติอยู่รอดเสมือนการปรากฏขึ้นของเทพเจ้าจากธรรมชาติของมนุษย์ในหลายวัฒนธรรมเก่าแก่ ซึ่งการอยู่ร่วมกับธรรมชาติก็ดูจะสวยหรูไปจนบางคนคิดว่าเป็นพร็อปประกันดาของหนังที่ทำให้ เซเปี้ยน เซเปี้ยน อย่างเราๆ ในยุคนี้ตระหนักรู้เหมือนที่มนุษย์วัฒนธรรมแบบซาเวจทำคืออยู่ร่วมกับธรรมชาติซะนะ แต่แค่อยากจะบอกให้ลองเตือนๆกันหน่อยว่าจริงๆแล้ว มนุษย์ในยุคก่อนๆ ไม่ได้อยากอยู่ร่วมกับธรรมชาติเสียทีเดียว เราใช้กำลัง ความรุนแรง เพื่อเอาเปรียบและเอาชนะมาตั้งแต่ออกเดินสองขา

.....ท้ายที่สุดที่เขียนพล่ามไปเนี่ย จะบอกว่า ชอบที่ปลุกผีก็อดซิลล่าออกมาโทนนี้

(อ้างอิงข้อมูลด้านวิวัฒนาการจาก Yuval Noah Harari ใน Sapiens: A Brief History of Humankind)