อันนี้เป็นอีกหนึ่งบทความเกี่ยวกับสุขภาพละกันนะครับ เพราะว่าเทรนเขามาแรงไม่ตกจริงๆ กับโรคระบาดอย่าง COVID-19 รอบนี้ผมเลยอยากให้ทุกคนลลองทำความรู้จักกับภูมิคุ้มกันอีกรูปแบบหนึ่งนั่นคือ Herd immunity นะครับ (ทำไมพวกเอ็งขยันเซ็ต new low กันได้ทุกวี่ทุกวันอย่างนี้ นี่คือไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าละ -..-)
Herd immunity (or Indirect protection or Community immunity or Community protection)เนี่ย ความจริงผมได้ยินครั้งแรกสมัยดูเรื่องระบบความปลอดภัยคอมพ์นะครับ แต่ความจริงมันก็เกิดมาจากคำศัพท์ทางระบาดวิทยานี่แหละ คือเป็นปราฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อประชากรในสังคมๆ หนึ่งเนี่ยมีภูมิคุ้มกันต่อโรคๆ หนึ่ง ในสัดส่วนที่มากเพียงพอจนทำให้ประชากรที่ไม่มีภูมิคุ้มกันไม่ติดเชื้อจากประชากรที่เป็นโรคนั่นแหละครับ เนื่องจากโอกาสที่ประชากรสองกลุ่มนี้จะเจอกันนั้นจะน้อยลงนั่นเองครับ ถ้าเทียบกับความปลอดภัยคอมพ์ก็เช่น หากในเครือข่ายเรามีคอมพ์ที่ลงระบบรักษาความปลอดภัยหรือ immunized ไปแล้วจำนวนหนึ่ง ก็จะช่วยลดโอกาสที่เครือข่ายนั้นๆ จะถูกโจมตีได้นั่นเองครับ เนื่องจาก contact surface มันน้อยนั่นเอง
อันนี้เราก็ต้องย้อนกลับไปที่การสร้างเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราก่อนนะครับ โดยการสร้างภูมิคุ้มกัน (immunization) ในร่างกายของเรานั้นได้มาจาก 2 แหล่ง นั่นก็คือ
โดยสองวิธีนี้ก็จะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันนะครับ
VACCINATION | INFECTION & RECOVERY |
Less complication —> Less morbid/mortality | More complication —> More morbid/mortality |
More Controllability | Less Controllable |
Not always available —> must develop a vaccine for it | Always available |
Less immunogenicity | Better immunogenicity |
อันนี้จากการศึกษานะครับ ว่าประชากรในสังคมๆ หนึ่งนั้นจะมี herd immunity จะต้องมีสัดส่วนประชากรที่มีภูมิคุ้มกันที่มากในระดับหนึ่ง ซึ่งก็มีความแตกต่างกันไปตามแต่ละโรค เพราะโรคแต่ละโรคนั้นมีอัตราการติดต่อที่แตกต่างกัน โดยการติดต่อกันของโรคนั้น จะใช้คำว่า basic production number หรือจำนวนคนที่คนที่เป็นโรค 1 คนสามารถแพร่เชื้อติดต่อไปได้ (R0 or R nought) โดยสัดส่วนประชากรที่ทำให้เกิด Herd immunity ได้นั้นจะใช้คำว่า Herd immunity threshold (HIT) ซึ่งก็จะมาจากสูตร 1 – 1/R0 ตัวอย่างเช่น เชื้อโรคหัดมีค่า R0 = 15 คือคนเป็นโรคหนึ่งคน สามารถแพร่เชื้อให้ประชากรกลุ่มเสี่ยงได้ถึง 15 คน ก็จะได้ herd immunity threshold ได้เป็น 1 – 1/15 = 14/15 —> 0.93 ซึ่งก็คือต้องมีประชากรที่มีภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 93% จึงจะเกิด Herd immunity ต่อโรคหัดนั่นเองครับ
ตรงนี้ขึ้นอยู่กับตัวโรคครับ บางโรคที่ไม่ค่อยมีการ mutation ไปไหนไกล การที่มีภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อครั้งแรก ก็จะทำให้มีภูมิคุ้มกันลอดชีวิต (life-long) หลังจากหาย หรือมีภูมิคุ้มกันครับ เช่น โรคหัด, ฝีดาษ เป็นต้นครับ แต่สำหรับโรคบางโรคที่อาจจะมี mutation ได้ตลอด เช่นโรคไข้หวัด ที่การสร้างภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องมีการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชากรยังคงมีภูมิคุ้มกันอยู่ครับ สำหรับ COVID-19 นั้น มีการศึกษาออกมาว่า ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้มาจะยังคงอยู่ในระดับที่ตรวจสอบได้ประมาณ 3-6 เดือน และในการศึกษาที่เพิ่งออกมาได้ไม่นานก็ระบุว่า ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 นั้น สามารถป้องกันการเกิด reinfection ได้อย่างน้อย 6 เดือน (เพราะ COVID-19 นี่ก็เพิ่งมาได้ไม่นานครับ ทำให้มีข้อจำกัดด้านการศึกษาวิจัย)
เนื่องจากการคำนวน herd immunity threshold นั้นจำเป็นต้องใช้ค่า R0 จึงจะสามารถคำนวณประชากรที่ต้องทำให้มีภูมิคุ้มกันมากพอที่จะทำให้เกิด community immunity ได้ ซึ่งค่า R0 ของ COVID-19 จากที่เคยศึกษากันมานั้นมีค่าอยู่ระหว่าง 2-3 ทำให้สัดส่วนประชากรที่ต้องทำให้เกิดภูมิคุ้มกันนั้นอยู่ที่ 50 – 67% จึงจะเกิด herd immunity แต่เชื่อหรือไม่ว่าค่า 2-3 นั้น ไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเท่าที่ควร เนื่องจากในการที่จะบอกว่าใครเป็น COVID-19 นั้นก็ได้มาจากการตรวจวินิจฉัยโรคผ่านชุดตรวจ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชุดตรวจ COVID-19 นั้นมี sensitivity และ specificity ที่ต่ำกว่าชุดตรวจสำหรับโรคอื่นๆ (เพราะเพิ่งพัฒนามาได้ไม่นาน) ทำให้ค่าที่ได้มาจากแต่ละการศึกษานั้น vary ออกมาได้เยอะ ทำให้ค่า herd immunity threshold ที่จริงอาจจะไม่อยู่ในช่วง 50-67% ก็ได้ อันนี้ยังไม่รวมข้อจำกัดของบางประเทศ ทำให้ตรวจปูพรมไม่ได้ด้วยนะครับ
เราอาจจะเคยได้ยินข่าวของประเทศบางประเทศโดยเฉพาะในแถบยุโรปที่แทนที่จะทำการ lock down กลับมีนโยบายที่จะนำประชากรกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยที่จะเสียชีวิตจาก COVID-19 มาอยู่ด้วยกันเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน แต่ก็มีปัญหาอยู่ที่
และนอกจากนี้ ก็ยังไม่เคยมีหลักฐานของการทำ large-scale infection-based herd immunity policy ได้สำเร็จมาก่อนเช่นกัน ซึ่งเราก็จะเห็นได้จากความล้มเหลวในการควบคุมโรคระบาดของประเทศอังกฤษและประเทศสเปน ทำให้เกิดการระบาดและมีผู้เสียชีวิตมากมาย
ดังนั้นการที่จะทำให้ herd immunity มีประสิทธิภาพนั้นอย่างแรกเราควรมี vaccine ที่ใช้ได้จริงก่อน เพราะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ และมีความปลอดภัยมากกว่าการไปติดเชื้อแล้วหายเองอย่างแน่นอน
ในตอนนี้สิ่งที่เราพอทำได้ระหว่างรอวัคซีนก็คือ