explicitClick to confirm you are 18+

The Lost Horcrux.(Chapter 1)

Moony🌜🌜Jun 2, 2020, 3:40:27 PM
thumb_up6thumb_downmore_vert

“อีฟวี่ ลูกไม่ได้ลืมอะไรไว้ในรถนะ?”

เจ้าของดวงตาสีน้ำเงินกระจ่างเหลือบมองไปยังผู้เป็นแม่ก่อนก้มลงดูกระเป๋าที่ตัวเองกำลังสะพายก่อนส่ายหน้าน้อย ๆ

“ไม่ค่ะ คุณแม่ หนูไม่ได้ลืมอะไร” เอเวอลีน ‘อีฟวี่’ คิงส์ลี่ย์ ตอบด้วยน้ำเสียงกับท่าทางมั่นใจก่อนส่งยิ้มเกร็ง ๆ ให้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของ นาโอมิ คิงส์ลี่ย์ เป็นประกายขณะมองลูกสาวด้วยรักใคร หล่อนโอบแขนรอบไหล่ลูกสาวพร้อมกระซิบเสียงแผ่ว

“แม่รู้นะว่าลูกกังวล แต่แม่อยากให้รู้ไว้ว่าแม่อยากให้ลูกทำให้ตัวลูกเองนั้นภูมิใจด้วย ไม่ใช่แค่ทำเพื่อให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกเท่านั้น เพราะมันเป็นอนาคตของลูกไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของแม่ ไม่ใช่ของพ่อ ไม่ใช่ของพี่ชายลูก เป็นของลูกคนเดียวเท่านั้น”

แม่ของเธอนั้นพูดถูกที่ว่าเธอนั้นกำลังกังวล เพราะเธอกำลังกังวลจริง ๆ การที่อีฟวี่กำลังจะไปเรียนที่ ฮอกวอตส์ นั่นหมายถึงสิ่งที่เธอพูดคุยกับแม่และสิ่งที่พวกเธอว่าแผนกันมาตลอดหลายปีกำลังเกิดขึ้น มันเป็นภาระที่หนักหนาเกินกว่าที่เด็กหญิงอายุสิบเอ็ดอย่างเธอจะต้องแบกรับแต่เธอก็ยินดีที่จะทำเพื่อช่วยหยุดพี่ชายของเธอ

“ถ้าหนูเป็นสิริธิลีนล่ะคะ?” มุมปากข้างนึงของแม่ยกขึ้น

“งั้นลูกก็จะเป็นสิริธิลีนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่พวกเขามี” นาโอมิตอบลูกสาวด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ

นัยน์ตาสีน้ำเงินของอีฟวี่หมองลง

“แล้วถ้าหนูเป็นเหมือนเขาล่ะคะ?” และตอนนั้นเองคำถามนั่นทำให้นาโอมิหยุดกึก เธอย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาของลูกสาว มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าเด็กผู้หญิงวัยสิบเอ็ดคนนี้ที่เธอรักยิ่งกว่าลมหายใจไว้หลังเมื่อมองลูกสาวอีกครั้งก็เห็นว่าเธอนั้นเหมือนพ่อของเธอมากเพียงใด

“พวกเราต่างก็รู้ว่าลูกจะไม่มีเหมือนเขา เอเวอลินลูกมีจิตใจดีงานที่เขาไม่มีทางมี ลูกอาจใช้เลือดครึ่งนึงร่วมกับเขาแต่ไม่ ลูกจะไม่มีทางเป็นเหมือนเขา” อีฟวี่หลับตาลงตอนหัวนิ้วแม่มือของแม่ไล้บนแก้มเธอไปมา

“หนูอยากให้พ่อมาด้วยจัง” พอลูกสาวลืมตา เธอก็เห็นดวงตาสีน้ำเงินหมองลง น้ำตาเอ่อคลอ นาโอมิสูดหายใจแล้วยื่นหน้าไปจุมพิตหน้าผากของลูกสาวด้วยความรักใคร่

“ลูกก็รู้ว่าพ่ออยากมาด้วยที่สุด แต่ลูกก็รู้ใช่มั้ยว่าพ่อทำไมมาไม่ได้” อีฟวี่พยักหน้าให้แทนคำตอบแล้วโอบแขนรอบคอแม่

“ขอบคุณนะคะ” ผู้เป็นแม่โอบแขนกอดลูกสาวก่อนเหยียดยิ้มเศร้าสร้อย ถึงแม้เธอจะไม่ชอบเลยแม้แต่น้อยที่ต้องส่งลูกไปเรียนแล้วก็ใช้ชีวิตห่างจากอกเธอแต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากภาวนาให้ลูกของเธอนั้นได้พบอันตรายตลอดเวลาที่อยู่นั่นก็เป็นพอ

การบอกลาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยโดยเฉพาะกับอีฟวี่ที่เธอนั้นสนิทกับแม่มากเหลือเกิน เธอกอดลาแม่อีกครั้ง ก่อนหันไปกอดลามาร์โคด้วยเหมือนกันแล้วค่อยหมุนตัวหันหลังเดินขึ้นไปบนรถไฟตรงไปยังฮอกวอตส์ แต่เท้าทั้งสองข้างของเธอก็ต้องสะดุดกึกตอนอีฟวี่หันไปมองแม่ผ่านหน้าต่างรถไฟ

นาโอมิยกมือขึ้นมาโบกให้ก่อนส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ หัวใจในอกของอีฟวี่พองโตขึ้นตอนแม่ทำปากอวยพรให้เธอว่า โชคดี อีฟวี่โบกมือกลับไปพร้อมกับพยักหน้าให้กับคำอวยพรนั้นพร้อมกับสูดหายใจเฮือกใหญ่

สายที่จะหันหลังกลับแล้ว ทุกก้าวที่เธอเดินเข้าไปในรถไฟนั่นหมายถึงเธอกำลังเดินเข้าไปในเพื่อเผชิญหน้าอะไรกับก็ตามที่จอมมารเตรียมรอนักเรียนทุกคนอยู่ที่ฮอกวอตส์

“จงกล้าหาญ” อีฟวี่งึมงำกับตัวเองเมื่อนึกถึงคำพูดที่พ่อมักจะบอกเธอเสมอเวลาเธอกลัวอะไรแล้วช่วยให้เธอก้าวผ่านมันมาได้ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่พ่อไม่อยู่ที่นี่ มีแต่เธอเท่านั้น และมีแต่คำสอนของเขาเท่านั้นที่จะทำให้เธอก้าวผ่านความกลัวพวกนี้ไปได้

ไม่นานอีฟวี่ก็เจอตู้รถไฟที่ดูเหมือนจะเงียบสงบกว่าตู้อื่นที่เธอเดินผ่านมา ดวงตาสีน้ำเงินของเธอจ้องมองไปที่เจ้าของผมดำยาวที่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ข้างในแล้วสังเกตเห็นว่าเขาอาจอายุมากกว่าเธอด้วยส่วนสูงแล้วก็อกที่ผายและไหล่ที่กว้างนั่น แต่ถึงอย่างนั้นอีฟวี่ก็กลั้นใจแล้วเปิดประตูเข้าไป

เธอชะงักทันทีเมื่อรุ่นพี่คนนั้นหันควับมาแล้วใช้ดวงตาสีโอนิกซ์ที่ดำสนิทราวกับรัตติกาลนั่นจ้องกลับมา ผิวของเขาขาวซีดแทบจะไม่มีเลือดฝาด ปลายจมูกที่งุ้มมาข้างหน้านั่นทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อยและใช่ แต่ถึงยังงั้นเขาก็ชายหนุ่มที่ดูดีไม่ขี้ริ้วขี้เหร่เลยแม้แต่น้อยด้วยท่าทีไม่รับแขกนั่นเลยก็เถอะ

“อะไร?” เขาถามด้วยสีหน้าหงุดหงิดอย่างถึงที่สุดและทันทีที่เขาเปิดปากอีฟวี่ก็ถอนหายใจออกมาน้อย ๆ ว่าไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ของเขาสินะที่ไม่เป็นมิตร แต่ก็คงเป็นบุคลิกด้วยเหมือนกันจากประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอนั่น

อีฟวี่กลืนน้ำลาย มือทั้งสองประสานกันตรงหน้า

“ฉันเดินผ่านมาแล้วเห็นว่าในตู้นี้มีที่ว่างก็เลยอยากจะถามว่าขอนั่งด้วยมั้ยคะ?” รุ่นพี่ที่มีดวงตาให้ความรู้สึกแสนลึกลับนั่นทำหน้าตาครุ่นคิดก่อนเขาจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้อยากจะรบกวนอยู่แล้ว” พอได้ยินแบบนั้นเขาเลยมองดูเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนบางอย่างจะทำให้สีหน้าหงุดหงิดของเขาอ่อนลง

คิ้วสีบลอนด์ประกายอมทองของอีฟวี่เลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาพยักพเยิดให้เธอเข้ามา

“ขอบคุณมากค่ะ” อีฟวี่รีบเม้มปากเพื่อกลั้นรอยยิ้มของเธอเอาไว้ตอนปิดประตูแล้วเดินมานั่งตรงที่นั่งตรงข้ามกับเขา ชายตรงหน้าเธอไม่พูดอะไรตอนก้มหน้าลงแล้วอ่านหนังสือในมือต่อ ร่างของอีฟวี่สะดุ้งเล็กน้อยตอนเธอได้ยินเสียงฮูดรถไฟแล้วรู้สึกได้ว่ารถไฟกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

“มันก็แค่รถไฟ ไม่มีอะไรน่ากลัวทั้งนั้นแหละ” เสียงนุ่มลึกของเขาให้ความรู้สึกเหมือนกำมะหยี่เอ่ยขึ้นมาราวกับว่าเขาเห็นว่าอีฟวี่เริ่มนั่งกระสับกระส่าย ทั้งที่พอเธอหันมาก็ไม่เห็นเขาได้เงยหน้ามองเลยแม้แต่น้อย

“ค่ะ” เจ้าของผมสีดำยาวประบ่าตรงหน้าเธอถอนหายใจแล้วปิดหนังสือเสียงดังปังก่อนตวัดสายตามามอง

“ขึ้นรถไฟครั้งแรกรึไง?” อีฟวี่พยักหน้าให้แทนคำตอบ สีหน้าของเขาก็ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจนเหมือนจะเป็นเอนดูตอนเขาล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมแล้วล้วงห่อช็อคโกแล็ตออกมา “กินซะสิจะได้ดีขึ้น” พอเขายื่นมาให้เธอก็ส่ายหน้าก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเองบ้างแล้วหยิบห่อคุ้กกี้ช็อกโกแล็ตชิฟที่แม่อบให้ออกมา

สีหน้าพึงพอใจของเขาทำอีฟวี่หัวเราะคิกตอนเขาเอื้อมมือมาเคาะห่อขนมของตัวเขากับเธอเหมือนเป็นการชนแก้วแล้วเอนหลังพิงกับพนันก่อนทั้งสองจะก้มลงแกะห่อขนมของตัวเองออกมากิน

ท่าทางของเขาตอนนี้ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายนี่นา ไม่แน่เขาอาจจะมีตอนเช้าแย่ ๆ ก็ได้ มันทำให้เธอนึกถึงพ่อที่บ้างครั้งตอนเช้าเขาก็อารมณ์ไม่ดีตอนนั่งดื่มกาแฟพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ตอนพวกเขากำลังทานอาหารเช้า เพราะบางทีบนหน้าหนังสือพิมพ์ก็ลงเรื่องร้าย ๆ ของพี่เธอไว้หราซึ่งมันจะทำให้พ่อแทบไม่คุยกับเคยเลยตลอดทั้งวันแล้วหมกตัวทำงานจนกว่าจะถึงมื้อเย็น

“กินมั้ยคะ?” อีฟวี่ถามพร้อมกับยื่นห่อคุ้กกี้ที่ทำถูกทำอย่างปราณีตนี่ส่งให้เขาหลังเห็นเขาแอบมองมาหลังกินหอมหวานของมันส่งกลิ่นไปทั่วตู้รถไฟของพวกเขา สีหน้าเขาดูประหลาดใจไม่น้อยที่เธอยื่นคุ้กกี้ให้ “กินเถอะค่ะ แม่ฉันอบไว้ให้เยอะแยะเลย”

พอเขายื่นมือมาหยิบหลังจากเจ้าตัวงุบงิบคำว่าขอบคุณทำอีฟวี่กลั้นยิ้มเอาไว้จนปวดแก้ม

“เอเวอลิน คิงส์ลี่ย์ แต่ทุกคนเรียกฉันว่า อีฟวี่ ค่ะ” เขาพยักหน้าตอนยกคุ้กกี้ขึ้นมากัด ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเป็นกระกาย

“เซเวอรัส สเนป แต่เธอเรียกฉันว่า--”

“สนิฟเวลลัส! อยู่นี่เองเพื่อนร่วมชั้นสริธิลีนคนโปรดของฉัน!” แขกคนใหม่ที่เปิดประตูดังปังเข้ามาทำอีฟวี่ตกใจแทบจะทำคุ้กกี้ในมือร่วงลงไป สเนปแทบจะคำรามออกมาตอนหันไปมองเพื่อนคนใหม่ของพวกเขาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นั่น

“แบล็ค? นายต้องการอะไรไม่ทราบ?” อีฟวี่ต้องยอมรับว่าชื่อของคนที่ชื่อว่า แบล็ค นั้นเหมาะกับเขาไม่น้อย

“ฉันก็แค่อยากมาดูให้แน่ใจว่านายไม่เป็นไรนะ....แบบหลังจาก..นั่นน่ะ” แววตาของแบล็คดูสะใจไม่น้อยตอนเขายกมือกอดอกมองไปที่สเนป อีฟวี่เห็นสีหน้าของเพื่อนใหม่ของเธอดูเจ็บปวดขึ้นมาชั่ววินาทีก่อนมันจะหายไปเมื่อเขาบีบคุ้กกี้ที่เหลือในมือไว้จนปุ่นเป็นผง

“ซิเรียสไม่เอาน่า” เพื่อนของเขาอีกคนพยายามดึงให้แบล็คหุบปากแต่ก็ไม่เป็นผล “นายไม่เห็นรึไงว่ามีปีหนึ่งนั่งอยู่ด้วย” แบล็คหันมองมายังเธอทันทีก่อนเขาจะดูตกใจไม่น้อยแล้วหันไปแทบจะคำรามใส่สเนป

“บ้าอะไรวะ? สนิฟเวลลัส? นี่นายตกต่ำถึงขนาดหลอกล่อพวกเด็กไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้เป็นลิ่วล้อพวกของพวกนายแล้วงั้นหรอ?” นี่มันอะไรกันเนี่ย? สำหรับอีฟวี่แค่การไปฮอกวอตส์ห่างจากครอบครัวของเธอก็ยากพออยู่แล้วนี่เธอยังต้องมาอยู่ท่ามกลางดราม่าบ้าบออะไรก็ไม่รู้อีกงั้นหรอ? แล้วอีตาแบล็คนี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกันที่มาตัดสินใจว่าคนอย่างเธอนั้นจะโดนใครล้างสมองได้ง่าย ๆ

“ลูปินเอาเพื่อนของนายออกไปซะ” สเนปพูดลอดไรฟันพร้อมกับกำหมัดในมือเอาไว้แน่น

“มา กลับไปที่นั่งของเราเถอะ” อีฟวี่สังเกตการอยู่ห่าง ๆ หลังชั่งใจว่าจะเข้าไปยุ่งดีมั้ยหลังเห็นเครื่องแบบของสเนปที่เป็นสีเขียวไม่เป็นสีแดงเหมือนสองคนนี้ก่อนนึกได้ว่า เพื่อนใหม่ของเธอนั้นเป็นสริธิลีนและเพื่อนร่วมชั้นของเขาทั้งสองคนนั้นเป็นกริฟฟินดอร์ จากที่เธอได้ยินมาเขาว่าทั้งสองบ้านนี่เป็นศัตรูกันเพราะงั้นเธอก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่จะไม่ชอบขี้หน้ากัน

“บ้ารึไงรีมัส? แล้วปล่อยให้ไอ้ตัวประหลาดนี่หลอกให้เด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่นี่ตามมันไปงั้นหรอ?” นายก็รู้นี่ว่ามันกับพวกชอบทำอะไรตอนเวลาว่าง ๆ” แบล็คสลัดแขนออกจากเพื่อนทำท่าจะหันมามองอีฟวี่ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรเด็กที่เขาหาว่าหัวอ่อนและอ่อนแอคนนี้ก็เหยียดตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา

“และเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนนี้ก็รำคาญคุณเต็มที่ เพราะงั้นได้โปรดออกไปทีเถอะค่ะ” สีหน้าของแบล็คกับลูปินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่เพื่อนจอมโวยวายของเขาก็เหยียดยิ้มมุมปากตอนก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าอีฟวี่

“ใจกล้าดีนี่ อายุเท่านี้ถามหน่อยจะรู้คาถาอะไรได้?” อีฟวี่ถอนหายใจ “ลองร่ายมาสักคาถาสิ”

“อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะคะ” แล้วสเนปก็ต้องเม้มปากกลั้นหัวเราะไว้ทันทีตอนอีฟวี่ยกมือขึ้นก่อนตวัดข้อมือหลังพูดด้วยน้ำเสียงฉะฉานว่า 

ฟลิเพนโด”

ร่างของแบล็คลอยจากพื้นไปกระแทกลูปินที่ยืนอยู่ตรงประตูจนทั้งสองคนนั้นล้มไปกองกับพื้น อีฟวี่กลอกตาให้กับสองคนนั้นที่กำลังทำท่าจะขยับขึ้นมาแล้วเดินไปปิดประตูดังปังก่อนหันมามองสเนปที่กำลังนั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสีหน้าขบขันนั่น

“ขออภัยมิสเตอร์สเนป ท่าทางของมิสเตอร์แบล็คและปากของเขาทำให้ฉันคิดว่าถ้าพูดดี ๆ เขาคงไม่มีทางออกไปแน่ก็เลย--”

“เซเวอรัส”

“คะ?”

“เรียกฉันว่า เซเวอรัส”

แล้วตอนนั้นเองที่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีความกลัวที่ตัวเองจะได้อยู่ในบ้านเดียวกับพี่ชายอย่างสิลิธิลีนก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดตอนอีฟวี่ยิ้มกว้างให้เขาก่อนเดินกลับไปนั่งที่เดิมพลางส่งคุ้กกี้ให้เขาอีกชิ้น เซเวอรัสเหยียดยิ้มมุมปากตอนเอื้อมมือมาหยิบคุ้กกี้แสนอร่อยนี่ไปกัดอีกชิ้นหลังคิดว่ามันน่าขันแค่ไหนที่เห็น ซิเรียส แบล็ค ผู้แสนจะโอ้อวดนั่นต้องล้มก้นจ้ำเบ้าเพราะเด็กผู้หญิงอายุสิบเอ็ด 

สิลิธิลีน? ไม่แน่มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้จริงมั้ย?

อีฟวี่คิดตอนมองเซเวอรัสที่กำลังแอบอมยิ้มกับตัวเองพร้อมกับก้มหน้าอ่านหนังสือนั่นต่อ