“อาจารย์มาชอบเพลงแจ๊สได้ไงครับ”
ผมถามพลางหันสายตาไปยังกรอบแว่นสี่เหลี่ยมของคู่สนทนาด้านข้าง คลื่นเสียงสัมผัสเปียโนเพลง นาร์ดิส ของ บิลอีแวนส์ ดังกล่อมประกอบอยู่ในห้วงอณูความคิดของเราทั้งสอง
ลูกโป่งความทรงจำกำลังถูกเป่าขยายขึ้นมาใหม่ บ่อยครั้งผมชอบฟังเรื่องราวในอดีต การติดตามรำลึกเรื่องราวของคนอื่นเป็นงานอดิเรกส่วนตัว มันพิเศษยิ่งกว่าการสะสมปีกของแมลงบางประเภทเสียอีก แต่ก็ไม่เสมอไปหากการฟังอดีตของผู้อื่นกลับกลายเป็นการสูดกลิ่นก้อนความเท็จที่พรั่งพรูออกมาแทน
อดีตปรุงแต่ง ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากบริโภค มันก็แค่เพลงป็อบห่วยๆ ตามคลื่นวิทยุ ของพวกนี้มีมากพอแล้วสำหรับเรื่องแย่ๆประจำวัน
แต่กับอาจารย์เมื่อได้เห็นอาการกังวลใจในการสันดาปความคิดออกเป็นคำพูดของเขา ผมจึงไม่หวั่นใจกับเรื่องพวกนี้นัก เขาดูจู้จี้กับเรื่องเล่ามากกว่าผมเสียอีก ชักเริ่มสนุกขึ้นมาสิ
กลิ่นบุหรี่จากบาร์เทนเดอร์หนุ่มลอยแตะที่ปลายจมูกผมเบาๆ เสียงทุ้มลึกล้ำของดับเบิ้ลเบสตบ กระทบลงในเส้นอดีตของอาจารย์ หลังจากที่เขาจงใจหยุดช่วงจังหวะตัวเองไป
“ไม่บ่อยนะ ที่ผมจะมาเล่าเรื่องตัวเองแบบนี้” เขายิ้มน้อยๆแบบผู้ใหญ่ก่อนยกแอกอฮอล์เนื้อใสขึ้น
“ผมได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ค่ายวัฒนธรรมแลกเปลี่ยนในฤดูร้อนเมื่อหลายสิบปีก่อนมันเป็นโครงการระยะสั้นที่จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของนักเรียนต่างชาติต่างๆ ผมเองก็จำเหตุผลไม่ค่อยได้แล้วว่าทำไมถึงได้ไปโผล่อยู่ในค่ายนี้ด้วย เค้าลางว่าผมอยู่ในส่วนของคนจัดค่าย ส่วนเธอเป็นนักเรียนลูกค่ายที่เข้ามาทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนในตอนนั้น”
“ฝรั่งเหรอครับ”ผมเอ่ยแทรก คิดในใจว่าหรือจะเป็นคนผิวสี
“เป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นน่ะครับ ชื่ออากิโกะ พ่อเธอเป็นคนไทยส่วนแม่เป็นคนญี่ปุ่น มารู้เอาตอนหลังว่าครอบครัวของเธอทำงานในสถานทูตไทยในญี่ปุ่น ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมของเธอพอดี เลยได้หยุดมาพักร้อนที่บ้านเรา ประจวบเหมาะกับของพ่อเธอได้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการค่ายนี้ด้วย”
ผมกวักมือสั่ง เบย์ลี่ส์ เพิ่มขึ้นเป็นแก้วที่สอง พร้อมแอบโล่งใจไปกับภาพลักษณ์นางเอกที่เปลี่ยนไปจากที่คิดไว้ในตอนแรก “ในวันแรกที่เปิดค่าย ต่อมความสนใจของผมไม่ขยันทำงานกับเธอเลย เหมือนกับเรดาห์จับเสน่ห์จะมัวไปสำรวจอยู่กับลูกค่ายผมบลอนด์ไปซะหมด ไม่ใช่ว่าเพราะเธอหุ่นไม่ดีหรือไม่สวยหรอกนะครับ แต่เวลาที่คุณเข้าไปในฟาร์มวัวครั้งแรก คุณย่อมต้องสนใจวัวเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว เป็นเรื่องยากที่จู่ๆเราจะสนใจม้าลักษณะดีที่ยืนหลบเงียบๆอยู่หลังคอกจริงไหมล่ะครับ” อาจารย์หัวเราะชักชวนให้ผมเห็นด้วย
“แต่สุดท้ายปริมาณ ก็คุกคามผมได้ไม่นาน” เขาเท้าศอกขึ้นกับโต๊ะ ปล่อยให้นิ้วเรียงชิดปิดเคราสีดำแซมเทาของเขา
“แรกๆเธอเป็นคนเงียบมากครับ เงียบจนเกินน่ากลัว เรียกได้ว่าไร้ชีวิตเลยก็คงไม่ผิดนัก อาจด้วยภาษาไทยกับอังกฤษที่ไม่ค่อยแน่นของเธอด้วย ทำให้ตัวตนของเธอในค่ายดูเหมือนจะไม่ค่อยสู้ดีนัก ผิดกับผมที่อยู่ในฐานะเจ้าภาพร่วม แม้ว่าภาษาที่สองที่สามของผมจะยังตั้งไข่ได้ไม่ดีนัก แต่ถ้าจะมัวมาวางตัวเกร็งเขินงานมันก็คงเดินหน้าต่อไปไม่ได้ พอคนเราได้ตกเป็นจุดศูนย์กลางเข้าบ่อยๆ สะพานสัมพันธ์ก็เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผมคิดว่าทุกคนบนโลกมีสถานะไม่ต่างจากคลื่นหรอกครับ มันพร้อมจะเชื่อมต่อหากันเสมอ เราแค่มัวแต่รอส่วนผสมของความกล้าเท่านั้น”
อาจารย์ชี้นิ้วไปยังบาร์เทนเดอร์หนุ่ม ที่กำลังโยกตัวเบาๆแบบยากจะสังเกต ให้กับเสียงทรัมเป็ตของไมล์ส เดวิส ในเพลง ซัมเมอร์ไทม์
“ด้วยแบบนั้นทำให้ผมได้เจอกับเธอบ่อยๆ เวลานำกิจกรรมอากิโกะในตอนนั้นมีสภาพไม่ต่างจากงูหางกระดิ่งที่คอยหลบเลื้อยซ่อนตัวจากพวกเรา สัตว์เลื้อยคลานที่ขู่สั่นเขย่าเกล็ดปลายหางเมื่อถูกพบเจอ ทุกคนในค่ายพอกันตีตัวออกห่างเธอด้วยความเห็นว่าเธอเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงและเข้าถึงยากเกินไป แต่ก็ยังมีความพยายามที่จะต้อนรับเธอกลับเข้าสู่ก้อนกลุ่มของสังคมอยู่เหมือนกันครับแต่ไม่รู้ว่าด้วยเพราะอะไร เมื่อผมได้รับรู้ข่าวสารของเธออีกครั้ง กลุ่มผู้หญิงในค่ายส่วนใหญ่ก็คว่ำบาตรเธอออกไปจากค่ายแล้วอย่างเงียบๆ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจแต่ยังซ่อนความคุ้นเคยกับเรื่องราวประเภทนี้ คำพิพากษาของกลุ่มหญิงสาว มักเกิดขึ้นได้ง่ายดายอยู่เสมอราวกับการเติบโตของดอกหญ้า โดยเฉพาะกับผู้หญิงประเภทผ่าเหล่าแบบอากิโกะเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะตกเป็นเหยื่อของชุมชมวัฒนธรรมลูกผู้หญิง ผมตั้งใจฟังต่อไป
“ผมเองก็แปลกใจ เพราะในครั้งแรกทุกคนก็ดูใจดีกับอากิโกะเหมือนปกติครับ จนกระทั่งมีกลุ่มผู้ชายที่เริ่มเข้ามาพูดคุยสนิทกับเธอ ท่าทีของกลุ่มผู้หญิงในค่ายถึงค่อยๆเปลี่ยนไปผมพยายามถามถึงเหตุผลที่พวกเธอตีตัวออกห่างจากอากิโกะ แต่พวกเธอก็ได้แต่อ้ำอึ้ง และบอกปัดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จนสุดท้ายก็ได้รู้มาจากเด็กอิตาลีคนหนึ่งว่า เธอค่อนข้างเป็นที่นิยมของหนุ่มๆในค่าย บวกกับนิสัยขาดมนุษย์สัมพันธ์ในเพศตรงข้ามของเธอ ทำให้เธอมักถูกรุมล้อมอยู่กับพวกผู้ชายที่คอยบุกมาทำคะแนนแทน เป็นเหตุให้กระแสความไม่พอใจเริ่มก่อตัวเป็นไต้ฝุ่นในที่สุด”
“กลายเป็นว่าเหมือนเธอกำลังอ่อยใส่พวกผู้ชายแบบนั้นใช่ไหมครับ” ผมขยายความให้อาจารย์
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละครับ” เขายิ้มแต่สุดท้ายก็กลบปลายโค้งข้างแก้มนั้นลงอย่างรวดเร็ว
“จากคนเข้าถึงยากก็กลายเป็นคนไม่มีใครอยากเข้าถึงเลย”
เราหยุดพักบทสนทนากันครู่หนึ่ง ผมยกซดเบย์ลี่ส์ จนหมดแก้ว กลิ่นหวานของครีมนมผสมไอริสวิ้สกี้กระจายฟูฟ่าไปทั่วลำคอ แบบบทเพลงวอเทอร์เมลอน แมน ของ เฮอร์บี แฮนค๊อก ด้วยคลื่นจังหวะของรสชาตินั้น ทำให้ผมออกเสียง ว้าว เบาๆ ไปตามกลิ่นรสและเสียงเพลง
“พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมามันก็น่าแปลกอยู่เหมือนกัน เพราะเธอกลับเป็นฝ่ายเริ่มทักผมก่อน”
อาจารย์เอ่ยต่อ โดยไม่ได้มองมาที่ผม
“แล้วแบบนี้ไม่ทำให้อาจารย์รู้สึกว่า เธอเป็นผู้หญิงขี้อ่อยแบบที่เขาว่ากันเหรอครับ”
“ถ้าเธอพยายามทำในลักษณะแบบนั้นผมก็คงคิด แต่เธอกลับพูดกับผมว่า ‘นายเหมาะจะเล่นกลองนะ นายน่าจะลองฝึกดู’ แล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมก็เพื่อนชาวอังกฤษอีกสามสี่คนยืนงงกันในสนามบาส เธออาจจะพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ด้วยเพราะผมก็กำลังอยู่ในความคิดว่าอยากจะหัดเล่นเครื่องดนตรีซักชิ้นอยู่ด้วย ทำให้เหมือนจู่ๆก็มีคนมาช่วยเลือกให้น่ะครับ”
เขาดูชอบใจกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เสียงเพลงในบาร์เพิ่มปริมาณเสียงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย
“เหมือนมีพระเจ้าเดินเข้ามาทาบทามติดต่อสื่อสารกับผมเลยล่ะครับ หลังจากนั้นช่วงพักกลางวันผมก็เลยเริ่มเข้าไปคุยกับเธอบ่อยๆ ทำให้เริ่มรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนมีพฤติกรรมแย่อะไรแบบนั้น ตอนแรกผมก็คิดแค่ว่าเธอเป็นพวกไม่ชอบเข้าสังคม แต่เปล่าเลยครับจริงๆแล้วเธอเป็นพวกชอบจ้อเจรจามาก
อากิโกะสามารถพูดกับคุณได้ทั้งวันโดยที่หัวข้อไม่ซ้ำเรื่องเดิมไม่ว่าจะเป็นดนตรี วรรณกรรม ศิลปะ ประวัติศาสตร์ จนไปถึงความแตกต่างของพฤติกรรมสัตว์ป่า และมักจบลงด้วยแจ๊สเสมอ
ผมเคยถามเธอว่า ทำไมเธอถึงไม่สนใจพูดคุยเรื่องพวกนี้กับคนอื่นบ้าง เธอตอบว่าพูดไปแล้วก็ดูประหลาด แต่ก็ไม่ได้อยากเรียกร้องให้ใครมาฟังอยู่แล้ว ก็แค่สนใจในสิ่งที่คิดว่าไม่เดือดร้อนใครก็เท่านั้น เธอแตกต่างจากเราครับ ในทุกๆแง่มุม อาจไม่ได้เกินเลยถึงขั้น ผิดปกติ แต่ก็สัมผัสได้ว่ามันต่าง ผมเริ่มสนิทกับเธอมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากนั้น”
ผมปล่อยให้กระแสอดีตของอาจารย์ไหลลื่นโดยไม่มีอะไรแทรกแซง
“หลังจากเป็นไงบ้างครับ อากิโกะกับแจ๊ส”
เสียงทรัมเป็ตดังขึ้นอย่างนวลเบา ดูเหมือนว่าผมจะไม่รู้จักเพลงนี้
“ทุกๆครั้งที่เราคุยกัน เธอบอกอยู่เสมอว่าเธอรักในแจ็ส ในค่ายฤดูร้อนนั้นเธอมีแจ๊สเข้ามาเติมเต็มอยู่เสมอ หูฟังสองข้างที่คอยพูดคุยผ่านโสตเสียงหัวใจที่ซับซ้อนของเธอแทนที่ผม ไม่ว่ายังไงอากิโกะก็จะไม่มีวันเดียวดายท้วงทำนองเหล่านั้นจะคอยเติมเต็มเธออยู่เสมอ”
เขาหรี่ตาหลับลงเหมือนกำลังระลึกถึงเธอ ผมกำลังคิดถึงภาพของหญิงสาวหน้าตารวยเสน่ห์ที่ดำดิ่งสู่ดนตรีคนดำ หลีกหนีจากเครื่องสำอางหรือแป้งผัดหน้า ชื่นชอบการพูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ผ่านเปียโนและเครื่องเป่ากวีเอกยังจะหาตัวง่ายกว่าเสียด้วยซ้ำกับคนประเภทนี้
“หลังจากจบค่าย ก็ถึงเวลาแยกย้ายของเราสองคน เธอให้ที่อยู่โรงเรียนสอนดนตรีของเธอ และบอกให้ลองแวะมาเรียนดู จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงให้ที่อยู่โรงเรียนสอนดนตรีของเธอ
แทนที่จะเบอร์โทร หรือที่อยู่เลขที่บ้านของเธอ ก็ได้แต่คิดว่าอย่างน้อยก็ยังมีช่องทางสื่อสารกับเธอ หลังจากนั้นผมก็เริ่มหัดกลอง ได้ฆ่าเวลาว่างไปพลางๆในช่วงที่คิดถึงเธอ ผมลองส่งจดหมายไปหาเธอที่โรงเรียนเธออยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีแม้แต่วี่แววจดหมายหรือเศษกระดาษอะไรตอบกลับมาเลย
ในช่วงเวลานั้นผมรู้สึกเหมือนว่าเราสองคนกำลังยืนอยู่บนเส้นสปริงที่คอยแต่จะเด้งดีดเราออกอย่างไร้ทิศทางและปราศจากการย้อนกลับ ในที่สุดเราก็หายออกไปจากกัน แม้จะไม่ทราบถึงเหตุผล แต่ผมก็ไม่มีความคิดที่จะทบทวนหรือหาคำตอบอะไร อาจด้วยภาระหน้าที่ ด้วยเวลา ด้วยสถานที่หรืออะไรก็ตามแต่ รู้ตัวอีกทีเรื่องราวในค่ายแห่งนั้นก็ชักจะเลือนรางลงไป อากิโกะตายไปจากสมองของผมอย่างเงียบๆ”
เขากล่าวเหมือนจะสิ้นสุดตรงนั้น
“พอมาถึงช่วงเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย โชคดีที่ผมติดโครงการเรียนดีไปก่อนคนอื่นๆ ทำให้มีเวลาว่างเยอะกว่าเพื่อนคนอื่น ส่วนแฟนที่เริ่มคบหาในตอนนั้นก็ต้องอ่านหนังสือหนักเพื่อเตรียมสอบเข้าแพทย์ ทำให้ไม่เหลือใครที่พอจะว่างเป็นเพื่อนผมเลยในตอนนั้น คิดได้แบบนั้นผมเลยตัดสินใจย้ายขึ้นมาอยู่กับญาติที่อยู่ใกล้มหาลัยที่สอบติดเลยน่าจะดีกว่า”
เขาขอน้ำเปล่าแก้วหนึ่งระหว่างหยุดพัก ดูเหมือนอาจารย์ไม่คิดจะดื่มเพิ่มแล้วในวันนี้
“ย่านละแวกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่เป็น ย่านชุมชนของคนญี่ปุ่นครับ แถมมีร้านแผ่นเพลงอยู่ใกล้ๆผมแวะไปแทบจะทุกวัน เจ้าของร้านเป็นคนญี่ปุ่น แต่พูดไทยคล่องมาก เขาชอบแนะนำแผ่นเพลงให้ผมไปฟัง จนวันหนึ่งผมสะดุดกับประตูกระจกที่มีทางเดินลึกลงไปด้านล่าง ผมก้าวเดินลงไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร ด้วยเพราะก็เริ่มสนิทกับเจ้าของร้านพอสมควร คิดเอาเองว่ามันคงเป็นห้องเก็บแผ่นเสียงอีกห้องหนึ่ง ผมเดินผ่านไฟสีส้มสลัวและกลิ่นอับลงไป เสียงเปียโนที่ดังละเมียดละไมอยู่ด้านล่างนั้นดังตกกระทบไล่ผมลงมา
เชื่อไหมและผมก็ได้พบเธออีกครั้งครับ”
อาจารย์เอ่ยด้วยความประหลาดใจจริงๆ
“ผมยืนมองเธออยู่ครู่หนึ่ง เหมือนไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เฝ้ามองดูนิ้วเรียวบางนั้นเต้นรำไปบนเวทีสีขาวสลับดำราวกับตกอยู่ในมนต์สะกดของปีศาจแห่งสุ้มเสียง ผมไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้เลย”
อาจารย์หลับตาทิ้งความคิดไปกับห้วงอดีตนั้น
“หลังจากเพลงจบลง ผมเอ่ยเรียกชื่อเธอ เธอหันมาก่อนนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยชื่อของผมกลับมาเบาๆ จากนั้นจึงได้รู้ว่าลุงเจ้าของร้านเป็นญาติของเธอเอง เป็นเรื่องโชคดีหนึ่งในล้านจริงๆที่ผมได้เจอเธอ
หลังจากใช้เวลาพูดคุยกันอยู่หลายชั่วโมง เติมเต็มวันเวลาที่ไม่ได้เจอกัน เธอเล่าว่าได้แวะมาเที่ยวหาญาติที่นี้ และดูแปลกใจที่รู้ว่าผมเล่นกลองเป็นแล้ว ก่อนเริ่มคะยั้นคะยอให้ผมตีโชว์ให้ดูยกใหญ่แต่ก็นั้นแหละครับ ผมเองก็เพิ่งหัดได้ไม่นาน ถึงมันจะไม่ใช่การแสดงที่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร
แต่ผมก็คิดเอาเองว่ามันยังห่างไกลจากสิ่งที่อากิโกะหลงรักในฐานะนักดนตรีอยู่ดี ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ทำได้ไม่ดีนัก แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยว่าอะไร เพียงแค่ยิ้มและชวนให้ผมมาซ้อมด้วยกันในวันต่อมา เพราะเธอจะอยู่ที่นี้อีกเป็นเดือนก่อนจะกลับ จากนั้นพวกเราก็เริ่มซ้อมกัน ทุกวันมันบ้าคลั่งเอามากๆครับ มีเพื่อนๆกับลุงของเธอเข้ามาร่วมแจมเป็นช่วงเวลาที่ได้สัมผัสแจ๊สแบบจริงๆจังๆที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยครับ”
อาจารย์ยกดื่มน้ำเปล่าที่เหลือจนหมด เขาเช็ดริมฝีปากเล็กน้อย ตอนนี้ในร้านไม่เหลือใครแล้วนอกจากเราสองคนและพนักงานบาร์ติดบุหรี่คนเดิมที่ยืนเช็ดแก้วอยู่ใกล้ๆ
“หลังจากนั้นเราก็มีโอกาสได้แสดงในบาร์เล็กๆแห่งหนึ่ง ผมจำได้ว่ารู้สึกประหม่ามาก ระหว่างที่วิตกอยู่อย่างนั้น เธอก็เดินเข้ามาให้กำลังใจผมเธอบอกสั้นๆ‘มันเป็นแค่การซ้อมประจำวัน อย่าคิดมาก’ก่อนจะตบไหล่ผมและเดินไปประจำที่เปียโนอัพไรท์ของเธอจากนั้นค่ำคืนก็เริ่มละเลงอยู่ในความฝัน มันเกินกว่าจะบรรยายได้ ทุกจังหวะเมโลดี้ จางหาย รวมตัว บีบอัด กรีดร้องประสานกันอยู่ไปมา
สติของผมล่องลอยไปกับห้วงราตรีเพลิงสีน้ำเงินเข้มราวกับว่าไม่มีอะไรจะรื่นรมย์ไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว หลังจากจบงานเราออกมาเดินเล่นกันนอกร้าน กลิ่นแอกอฮอล์ของเราปะปนกันจนแยกไม่ออกระหว่างที่ก้าวเดินไปอยู่นั้น เราหันมามองกันเหมือนในทุกๆครั้งผมเริ่มสังเกตถึงแววตาของเธอมันหยั่งลึกและเอ่อล้นออกมามากกว่าทุกๆครั้ง เหมือนผีเสื้อสีฟ้าอ่อนกำลังอยากลิ้มรสหวานจากเกสรดอกไม้ ภาพฉากหลังมันขาวโพลนไปหมด ผมก้าวเดินไปใกล้ๆเธอผมลืมเสียสิ่งทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวกับอากิโกะ ไม่ว่าแจ๊สหรือว่าอะไรก็ตาม ผมรู้สึกเหมือนว่าเราสองคนได้แบ่งปันช่วงเวลาที่ดีที่สุดให้แก่กันและกันในคืนนั้น ในเช้าวันต่อมาผมตื่นมากับความจริงทิ้งไว้เบื้องหลัง
โลกในตอนนั้นไม่ได้มีแค่ผมและอากิโกะ โลกอีกใบที่ผมสร้างไว้ เริ่มหมุนกลับมา แฟนของผมแอบเดินทางขึ้นมาโดยที่ไม่บอกผมก่อน ก่อเป็นเรื่องราววิวาทะของคนสามคน ผมไม่น่าทำแบบนั้นกับพวกเธอเลยจริงๆนะ”
อาจารย์พูดด้วยความรู้สึกผิด
“แล้วเคลียร์กันได้ยังไงครับ” ผมถามเพื่อเรื่องราวต่อไป
“ในตอนนั้นด้วยเรื่องราวทั้งหมด ผมตัดสินแบบเด็กๆว่าจะบอกเลิกกับแฟนและเลือกอากิโกะ แม้ว่าเธอสุดท้ายเธอจะชิงบอกผมก่อนไปหนึ่งวัน หลังจากเหตุการณ์นั้นพวกเธอนัดคุยกันเงียบๆโดยที่ไม่บอกผม เหมือนว่าอากิโกะจะไม่ยอมรับคำตอบที่ผมเลือกเธอได้ จากนั้นเธอก็เปลี่ยนกลายเป็น
หญิงสาวเย็นชาในค่ายฤดูร้อนคนเดิม…
ยังไม่ทันที่ผมจะรู้สึกตัว เธอก็บินกลับญี่ปุ่นไปโดยที่ไม่บอกกล่าวอะไร ก่อนทิ้งไว้เพียงกระดาษโน้ตแผ่นเดียว”
แสงไฟในบาร์ทยอยปิดตัวลงประกายตาของอาจารย์ ซุกซ่อนอารมณ์ในอดีตไว้อย่างแน่นลึก มันยังคงอบอวลอยู่ในใจเขา ผมหยุดจังหวะความอยากรู้ไว้เพียงเท่านั้น ด้วยรู้ถึงความเหมาะสมของการดื่มด้ำอดีตของคู่สนทนา
“มันเขียนเอาไว้ ขอบฟ้าดูห่างไกล ทำนองไหนที่ใกล้เธอ”
อาจารย์กล่าวท้าย
ก่อนปล่อยสายตาเหม่อลอยไปยังผนังกำาแพงอิฐสีแดงที่เรียงราย
ราวกับว่ามันจะหลุดลอยไปยังดินแดนสีเข้มอันห่างไกล
ระหว่างเขาและเธอ