เอนกค่อยๆยกเปลือกตาอันหนักอึ้งแล้วลุกขึ้นจากเตียงด้วยความเหนื่อยหน่ายในช่วงสายของวันหยุดสุดสัปดาห์ เมื่อคืนชายหนุ่มเพิ่งฝ่าฟันกองงานเอกสารที่จะต้องจัดการให้หมดก่อนกลับบ้านซึ่งกว่าจะได้กลับมานอนก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่า พอหัวแตะหมอนก็สลบลงทันที
ชายในชุดนอนบิดขี้เกียจอยู่สักครู่ ก่อนเดินเข้าไปอาบน้ำแปรงฟันคลายอาการง่วงที่ยังหลงเหลือ ก่อนจะสวมชุดสบายๆ สำหรับขับรถไปหาแต่เตี้ยมกับติ่มซำกินที่ร้านประจำ
เมื่อเขาขับรถออกมาผ่านบ้านจัดสรรแต่ละหลังก็ต้องแปลกใจมาก วันนี้ช่างเงียบเชียบราวกับว่าหมู่บ้านร้าง ปกติช่วงสายวันอาทิตย์จะต้องมีลูกสาววัยสามขวบของบ้านหัวมุมถนนมาวิ่งหน้าบ้าน พอไปถึงบ้านสีชมพูอันเป็นชมรมเต้นลีลาศของหมู่บ้านก็ต้องได้ยินเพลงสุนทราภรณ์ดังเจื้อยแจ้ว ไหนจะใกล้ทางเข้าออกหมู่บ้านที่ตอนนี้ไร้ร่องรอยของลุงวัยเกษียณมาขายกาแฟโบราณ นี่มันอะไรกัน
พระเจ้ายังไม่หนำใจเสียกระมัง เมื่อเอกขับรถมาถึงเขตเมือง นอกจากรถเก๋งของเขาแล้วก็ไม่มีรถคันไหนแล่นเลยนอกจากจอดริมถนน ร้านค้าทุกร้านที่มีแต่ของ ไม่มีคนขาย บ้านทุกบ้านปิดหมดราวกับหนีอะไรบางอย่าง
ชายหนุ่มรีบขับรถไปยังร้านติ่มซำอันเป็นจุดหมายเดียวที่เขาจะไป เมื่อเห็นหน้าร้านนอกจากตู้นึ่งซาลาเปาที่มีของกินเต็มตู้ แผงชงเครื่องดื่มที่มีไอร้อนจากหม้อต้มน้ำพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ก็ไม่พบพนักงานเลยสักคน ฝั่งตรงข้ามร้านอันเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะก็ไม่พบแม้แต่นกสักตัว ให้ตายสิทำไมมันเงียบแบบนี้
เอนกตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอินเทอร์เน็ต ไม่มีแม้แต่สัญญาณ แต่สัญญาณโทรศัพท์พอจะโทรหาใครสักคนได้ เขาลองโทรหาทุกคนตามรายชื่อที่มี พบว่ามีเพียง ป๊อก เพื่อนสนิทสมัยเรียนที่ทำงานบริษัทเดียวกันเท่านั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก ชายตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิททันที
“ฮัลโหล ไอ้ป๊อก อยู่ไหนวะ”
“หวัดดี ไอ้เอนก จะโทรหาแกอยู่พอดีเลย ตอนนี้นอนเล่นมือถืออยู่หอ มีธุระอะไร”
“ขอไปหาแกที่หอหน่อยว่ะ วันนี้มันแปลกไปหมด เหมือนไม่มีใครอยู่บนโลกอย่างนั้นแหละ”
“ตลกละ อย่ามาอำเสียให้ยาก อยู่ๆคนจะหายไปได้ไง” ป๊อกหัวเราะราว
“เราไม่รู้หรอก ถ้าแกไม่เชื่อก็ลองสำรวจเอาเองละกันว่าจริงไม่จริง อีกยี่สิบนาทีเจอกัน” เอกพูดเสียจริงจังจนอีกฝ่ายตกใจ ก่อนจะวางสายไป แล้วขับรถมุ่งไปยังหอเพื่อนทันที
เมื่อยานพาหนะจอดลงที่หน้าอาคาร ป๊อกรีบวิ่งลงมาเปิดประตูขึ้นรถทันที
“จริงด้วยว่ะไอ้เอนก หอเราไม่มีใครอยู่เลยเว้ย มีแต่เสียงทอดไข่ในห้อง พอลองเข้าไป ก็ไม่มีใครเลย”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดีล่ะ”
“ไปหาข้าวกินก่อน หิวแล้ว”
“นั่นสิ ลืมไปเลยว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าเลย ไปนั่งกินติ่มซำไป”
“ว่าแต่ไม่มีพนักงานเลย ใครจะทำใครจะเสิร์ฟล่ะ”
“พอไปถึง ค่อยว่ากันอีกที” เอนกขับรถออกไปยังที่ตัวเองจากมา
ณ ร้านติ่มซำเจ้าประจำ เอนกจัดการหยิบแต่เตี้ยมและติ่มซำที่พวกเขาอยากทาน มันวางเป็นจานสแตนเลสเล็กๆ แล้วนำไปใส่ในลังถึงไม้เล็กๆ ซ้อนทีละชั้นแล้วจัดการนึ่งที่ครัวหลังร้าน ส่วนป๊อกจัดการหยิบซาลาเปา ชงกาแฟร้อนที่หน้าร้าน พร้อมทำบะกุ๊ดเต๋ตามที่มีวัตถุดิบและเครื่องมืออำนวยให้ เมื่อเสร็จสิ้นจึงจัดการมาเสิร์ฟบนโต๊ะใหญ่กลางร้าน
“เอาล่ะ มากินมื้อเช้ากัน”
“นี่เราไม่ได้คุยกันแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“เป็นปีได้แล้วมั้ง ขนาดอยู่บริษัทเดียวกัน ยังแทบไม่เจอกันเลย”
“นั่นสิ เออนี่เราไปเจอหนังสือพิมพ์บนโต๊ะหนึ่งในร้าน แกลองอ่านวันที่ดูสิ”
“14 มีนาคม 2563 ฉบับเมื่อวานนี่”
“ใช่ แต่ลองอ่านข่าวดูไม่เห็นมีข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อวานเลยทั้งคดีกักตุนสินค้าเพื่อส่งออก ไหนจะข่าวฟ้องร้องคนขายของปลอมทำเป็นกระบวนการใหญ่มีทหารยศสูงมีเอี่ยวร่วมสิบคนอีก”
“บ้านนี้เมืองนี้ นอกจากศาลพระภูมิแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่านับถือ แกก็รู้”
“ก็นั่นสินะ”
“แต่เอ๊ะ ทำไมเนื้อในหนังสือพิมพ์หน้าอื่นๆ มันแปลก ๆ วะ ทำไมมันมีข่าวไวรัสแพร่ระบาดชื่อโรคชื่อเชื้อไม่เคยรู้มาก่อน สงครามกลางเมืองระหว่างสองขั้วอำนาจอีกไม่เห็นมีวี่แววได้ยินเลย”
“เฮ้ยจริงหรือวะ ไหนดูซิ”
“ไวรัสสไปรอล คนไท่กั๋วล้มตายอื้อนับหมื่น ยังคงหาทางรักษาไม่ได้ พบมีการกลายพันธุ์ตลอด...เออว่ะ จริงด้วย แล้วคนไท่กั๋วนี่ประเทศไหนไม่เคยได้ยินเลย”
“สงครามเหนือเท่ากับใต้จ้าวยังยืดเยื้อไม่หยุด ประโยชน์ใดเล่าเท่าใต้จ้าว สองประเทศนี้มีด้วยเหรอวะ ไม่ยักรู้” ทั้งคู่ลองเปิดอ่านเนื้อหาอื่นๆ ในหนังสือพิมพ์ก็ไม่พบว่าจะส่วนใดจะเป็นข่าวของเมื่อวานได้เลย ลองอ่านกี่รอบก็เหมือนเดิม
“เฮ้ยกูว่าแปลก ๆ แล้วว่ะ เมื่อวานยังนั่งทำงานกันอยู่เลย”
ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นขัดจัดหวะการสนทนา พวกเขาทั้งสองรีบออกมาดูข้างนอก พบว่าฝั่งตรงข้ามเยื้องหน้าร้านไปไกลมีไฟลุกท่วมรถยนต์คันหนึ่ง แต่ไม่นานก็ดับลงอย่างน่าอัศจรรย์ ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นกลับมีร่างของใครบางคนออกจากรถอย่างหน้าตาเฉยเหมือนไม่ถูกไฟคลอกอะไรเลย ป๊อกและเอกก็ต้องประหลาดใจเพราะใครคนนั้นคือคนที่รู้จักดี
“ช่อม่วง”
“ใช่ ฉันเอง”
“เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น เธอไม่เป็นอะไรเลยหรือ แล้ว....” คำถามสารพัดรัวออกจากปากป๊อกที่สับสนทุกสิ่งอย่าง ไม่ต่างจากเอกที่ได้แต่ยืนนิ่งงัน ริมฝีปากหนักเกินกว่าจะพูดอะไรได้
“เดี๋ยวเข้าไปในร้าน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
เอนก ป๊อกและช่อม่วงเข้ามานั่งที่โต๊ะรายล้อมไปด้วยอาหาร หญิงสาวกัดขนมจีบปูหนึ่งชิ้นก่อนจะเล่าให้ฟัง
“ทุกคนฟังนะ ที่ทุกคนหายไปเนี่ย ส่วนหนึ่งเป็นฝีมือของฉันเอง”
“เธอทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม ไม่มีจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์เลยหรือ”
“ใช่ ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำแบบนี้เพราะอยากให้ทุกคนในประเทศเหนือเท่าปลอดภัยจากสงครามกลางเมืองอย่างไรล่ะ”
“งั้นแสดว่าปี 2563 ในหนังสือพิมพ์นี้ก็...”
“เป็นปีค.ศ. ไม่ใช่พ.ศ. อีกอย่างการจะมาที่นี่ได้ต้องเสียชีวิตจากโลกจริง ที่พวกเธอจำไม่ได้ก็แสดงว่าตายไม่รู้ตัวแน่ๆ เดี๋ยวฉันจะทวนให้” ช่อม่วงหยิบแท่งบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงไปแตะที่ศีรษะแต่ละคนเพื่อชอร์ตไฟฟ้า
ภาพที่แต่ละคนเห็นคือ ป๊อกกำลังขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านหลังจากเลิกงาน เขากำลังตาปรือจากความอ่อนล้าแต่แล้วอยู่ๆก็มีแสงจากด้านหลังพบว่าถูกรถจี๊ปของทหารขับตาม ไม่ทันจะได้หนีวัตถุบางอย่างฝังเข้าที่กลางหลัง เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างแต่ด้วยใจที่มุ่งหวังกลับบ้าน จึงเหมือนยังติดบ่วงขับรถกลับมายังหอ ส่วนเอนกก็ขับรถยนต์เหยียบตะปูเรือใบขณะที่ขับมาอย่างรวดเร็วพร้อมฟังเพลงเอลวิสอย่างเมามันจนเสียหลักจนตกลงข้างทาง และติดบ่วงเช่นกัน
“แล้วทำไมจึงมาที่นี่ได้”
“คือประเทศเหนือเท่าได้มีการร่วมมือกันระหว่างนักวิจัยหลายสาขา เพื่อคิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถย้ายสสารของประชากรประเทศเราให้มาอยู่ในเมืองที่จำลองเหมือนจริงได้ โดยการฝังชิพเอาไว้ในศีรษะของทุกคนร่วมกับติดตั้งเครื่องย้ายมวลสารของมนุษย์เมื่อเสียชีวิตไว้ทุกตำแหน่งของประเทศ เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตใหม่ไม่ต้องเป็นเชลยหรือถูกทรมานจากประเทศใต้จ้าวที่จะยึดครองแผ่นดินเราไป หลังการแบ่งแยกร่วมสามร้อยปีเป็นประเทศไท่กั๋ว เหนือเท่าและใต้จ้าว”
“แสดงว่าในข่าวนี่ก็....”
“ใช่ ตอนนี้ประเทศใต้จ้าวกำลังยึดแผ่นดินของเท่าเหนืออยู่น่ะสิ แล้วทำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
“นี่ยังไม่ทำอีกหรือ ปล่อยให้ยึดไป โลกก็ไม่ได้น่าอยู่อะไรขนาดนั้น ไหนจะโรคระบาดในไท่กั๋วแถมมลพิษจากใต้จ้าวที่ปกคลุมไม่หยุด ตอนนี้ผู้คนคงโดนกราดยิงจากฝ่ายมหาอำนาจนั่น แต่ไม่เป็นไรที่นี่จะไม่มีวันหาเจอ มันยังคงล่องหนจากโลกจริงตราบนานเท่านาน”
ไม่นานนักคนอื่นๆ ก็ค่อยๆปรากฏตรงหน้าพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย หลายคนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ถ้าเทียบกับความโหดร้ายที่ต้องเจอในโลกจริง ก็ของงต่อไปในโลกเสมือนจะดีกว่า
จบ สวัสดี